บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
ออกบทวิเคราะห์ " ธุรกิจรับชำระค่าสินค้า และบริการ (Bill
Payment) : แนวโน้มเติบโตท่ามกลางการแข่งขันที่ยังคงเข้มข้น"ระบุว่า
ธุรกิจตัวแทนรับชำระค่าสินค้าและบริการ (Bill Payment) เกิดขึ้นในราวปี
2537
โดยในระยะแรกปริมาณธุรกรรมหลัก
จะมาจากการชำระค่าสาธารณูปโภค ได้แก่ ค่าไฟฟ้า ค่าประปา และค่าโทรศัพท์พื้นฐาน ซึ่งจุดให้บริการหลักจะเป็นที่สาขาธนาคารพาณิชย์ ส่วนธุรกิจเอกชนอื่นในขณะนั้น มีเพียงเคาน์เตอร์เซอร์วิส ที่เป็นผู้บุกเบิกผ่านช่องทางร้านสะดวกซื้อ
ปริมาณธุรกรรมด้าน Bill Payment เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยตลอดกว่าทศวรรษที่ผ่านมา จากผู้ใช้บริการเมื่อแรกเริ่มประมาณหลักพันราย
ทวีจำนวนขึ้นสู่หลักล้านราย ทั้งด้วยอุปสงค์
หรือความต้องการใช้บริการในลักษณะดังกล่าว ที่มาจากความรีบเร่งของสภาวะการดำรงชีวิตโดยเฉพาะในเขตเมือง
และจากการขยายตัวของการใช้บริการและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้นตามสภาพเศรษฐกิจ
ขณะที่ด้านอุปทาน หรือผู้ให้บริการ
ก็ได้มีการขยายขอบข่ายบริการไปยังสินค้าและบริการที่หลากหลายมากขึ้น อาทิเช่น
การชำระค่าบัตรเครดิต เบี้ยประกันภัย โทรศัพท์เคลื่อนที่ ซื้อตั๋วเครื่องบิน
เป็นต้น
ส่งผลให้มีบริษัทเอกชนหลายแห่งรุกเข้าสู่ธุรกิจการเป็นตัวแทนรับชำระค่าสินค้าและบริการ
โดยมีจำนวนผู้ให้บริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในรูปของจุดบริการ
(เคาน์เตอร์/สาขา) และขยายไปยังช่องทางอิเล็กทรอนิกส์
ไม่ว่าจะเป็นการรับชำระผ่านโทรศัพท์มือถือ และอินเทอร์เน็ต
จุดเปลี่ยนสู่การจัดระเบียบธุรกิจการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
ธุรกิจบริการเกี่ยวกับการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
มีมูลค่าโดยรวมทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูง และมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย
(ธปท.)
จึงผลักดันให้มีการออกพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการควบคุมดูแลธุรกิจบริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
พ.ศ.2551 (พ.ร.ฎ. e-Payment) ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่
16 กันยายน 2551 และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่
14 มกราคม 2552 โดยให้อำนาจ
ธปท.กำกับดูแลธุรกิจ e-Payment ครอบคลุมผู้ให้บริการทั้งที่เป็นธนาคารพาณิชย์
และ Non-bank เพื่อรักษาความมั่นคงทางการเงิน การพาณิชย์
และป้องกันความเสียหายต่อสาธารณชน ธุรกิจบริการรับชำระเงินแทน
(Bill Payment) เป็น 1 ใน 8
ธุรกิจบริการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่อยู่ภายใต้การควบคุมโดยกฎหมายดังกล่าว
และต้องขอรับใบอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก่อนให้บริการ ปัจจุบันมีผู้ให้บริการที่จดทะเบียนกับ ธปท.รวม 33 ราย
เป็นธนาคารพาณิชย์ 19 ราย และบริษัทที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน
(Non-bank) 14 ราย
การรับชำระเงินแทนผ่านเคาน์เตอร์/จุดบริการ...หนึ่งในช่องทางหลักของการให้บริการ
ปริมาณรายการจ่ายบิลที่เคาน์เตอร์ธนาคารหรือจุดบริการของ Non-bank
(Bill Payment Transaction) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นลำดับสู่หลัก 300
ล้านรายการ/ปี ทั้งนี้
จากข้อมูลที่รายงานโดย ธปท. พบว่า
ปริมาณรายการจ่ายบิลที่เคาน์เตอร์ธนาคารหรือจุดบริการของ Non-bank (Bill
Payment Transaction) มียอดทั้งสิ้นราว 151 ล้านรายการในช่วง
6 เดือนแรกของปี 2555 เพิ่มขึ้น 11.1%
จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดย74.14% เป็นการชำระค่าสินค้าและบริการที่จุดบริการของผู้ให้บริการประเภท
Non-bank เป็นหลัก ซึ่งค่าธรรมเนียมการให้บริการรับจ่ายบิลส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วง
7-15 บาท/รายการ ทำให้มูลค่าตลาดของรายได้จากค่าธรรมเนียมการรับชำระเงินที่ประเมินว่าอยู่ในช่วงไม่ต่ำกว่า
3 พันล้านบาท/ปี (คำนวณจากค่าธรรมเนียมการจ่ายบิลเฉลี่ย 10
บาท/รายการ) ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในมือของ Non-bankq
ด้านรายละเอียดของการจ่ายบิลที่เคาน์เตอร์และจุดบริการ (Bill
Payment) นั้น แบ่งเป็นการชำระบิลประเภทค่าสาธาณูปโภคพื้นฐาน
(รวมค่าไฟฟ้า ประปา และโทรศัพท์พื้นฐาน) ด้วยสัดส่วน 23% ของปริมาณรายการทั้งหมด
และประเภทค่าสินค้าและบริการ (รวมบิลบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด โทรศัพท์มือถือ
อินเทอร์เน็ต ประกัน และค่างวดสินค้าและบริการอื่นๆ) อยู่ที่ 77% ซึ่งน่าจะเป็นเพราะผู้ใช้บริการบางส่วนเลือกชำระค่าบริการสาธารณูปโภคพื้นฐานผ่านการหักบัญชีบัตรเครดิต/เงินฝากอัตโนมัติเพื่อความสะดวกไปค่อนข้างมากแล้ว
อีกทั้งธนาคารพาณิชย์ก็ได้บุกเบิกช่องทางการจ่ายบิลดังกล่าวมาตั้งแต่สมัยแรก ๆ
กว่า 90% ของมูลค่าธุรกรรมการจ่ายชำระเงินแทน เป็นการจ่ายบิลที่เคาน์เตอร์ธนาคาร
แม้ว่าปริมาณรายการการจ่ายบิลที่เคาน์เตอร์ธนาคาร โดยลำพัง จะมีสัดส่วนประมาณ 1
ใน 4 ของปริมาณธุรกรรมทั้งหมด ก็ตาม
ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของประชาชนผู้ใช้บริการ
โดยมักเลือกการจ่ายบิลที่มีมูลค่าสูงผ่านเคาน์เตอร์ธนาคาร นอกจากนี้ ยังอาจเป็นผลจากการที่ธนาคารพาณิชย์ที่ให้บริการรับจ่ายบิล
ไม่กำหนดวงเงินขั้นสูงในการรับชำระต่อครั้งไว้ โดยคงคิดค่าบริการที่ประมาณ 10-25
บาท/รายการ ไม่ว่าจะชำระด้วยมูลค่าเท่าไรก็ตาม ซึ่งแตกต่างจากการรับจ่ายบิลของ Non-bank ที่มักกำหนดวงเงินรับชำระต่อรายการไว้ที่ไม่เกิน
30,000-50,000 บาท
ขณะที่ ยังมีข้อสังเกตอีกว่า
สื่อที่ใช้ในการชำระเงินในธุรกรรมการจ่ายบิล เป็นการใช้เงินสดในสัดส่วนที่สูงถึง 97%
ของรายการ และคิดเป็นประมาณ 40% ของมูลค่า
ส่วนการใช้เช็ค มีสัดส่วนประมาณ 1% ของรายการ
แต่คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 40% ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลที่การจ่ายบิลมูลค่าสูงมักดำเนินการผ่านเคาน์เตอร์ธนาคาร
นั่นอาจเป็นนัยที่สะท้อนถึงความคุ้มทุนของการจ่ายบิลที่เคาน์เตอร์ธนาคาร
เพราะยิ่งมูลค่าธุรกรรมมีระดับสูง
ก็หมายความว่าต้นทุนค่าธรรมเนียมการจ่ายบิลต่อมูลค่าต่อรายการ ยิ่งต่ำลง
ธุรกิจบริการรับชำระเงินแทนในภาพกว้าง...การแข่งขันแฝงอยู่ในหลายมิติและมีความซับซ้อน
ต้องยอมรับว่า
ด้วยผลเชิงเทคนิคที่ฐานข้อมูลของ
ธปท.จะจัดธุรกรรมการรับจ่ายบิลเฉพาะที่หน้าเคาน์เตอร์ให้อยู่ในนิยามของธุรกรรม Bill
Payment เท่านั้น ทำให้การสะท้อนภาพรายการและมูลค่าของบริการการรับชำระเงินแทน
หรือ Bill Payment เพียงด้านเดียว
อาจไม่ครอบคลุมภาพการแข่งขันในทุกมิติของบริการการรับชำระเงินแทน ซึ่งมีความซับซ้อนอยู่พอสมควร
เนื่องจากหากพิจารณาถึงช่องทางการชำระบิลแล้ว กล่าวได้ว่า
ผู้ใช้บริการสามารถดำเนินการได้ในหลากหลายช่องทาง ดังนี้
1. เคาน์เตอร์ธนาคาร/จุดบริการของ Non-bank หรือ Bill Payment
2. ช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจัดอยู่ในหมวดธุรกรรม e-Payment
เช่น การชำระเงินที่เครื่องเอทีเอ็ม
การชำระเงินผ่านระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile Banking) และการชำระเงินผ่านอินเทอร์เน็ต
(Internet Banking)
3. การหักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัตรเครดิต/บัญชีเงินฝาก (Direct
Credit/Direct Debit)
ขณะที่ ผู้ให้บริการประเภท Non-bank
มีจุดแข็งสำคัญอยู่ที่ จำนวนจุดให้บริการที่ครอบคลุม
และระยะเวลาการเปิดให้บริการที่ยืดหยุ่นสูงถึง 24 ชั่วโมง 7
วัน ด้านผู้ให้บริการประเภท Bank
ที่บุกเบิกช่องทางสาขามาตั้งแต่ยุคแรก ๆ
ก็เสริมจุดแข็งของตนด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัยและเพิ่มความสะดวกของการเข้าถึงบริการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์
รวมไปถึงการหักบัญชีโดยอัตโนมัติ ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทย
ประเมินในเบื้องต้นว่า หากรวมรายการจ่ายบิลใน 2 ช่องทางแรก
คือ Bill Payment และช่องทางอิเล็กทรอนิกส์
(โดยไม่รวมรายการที่ทำผ่านการหักบัญชีโดยอัตโนมัติ เนื่องจากข้อจำกัดของข้อมูล)
เพื่อให้ได้ภาพตลาดที่ครอบคลุมมากขึ้นนั้น ส่วนแบ่งตลาดระหว่าง Bank และ Non-bank อาจอยู่ที่ประมาณ 40 : 60
โดยปริมาณรายการจ่ายบิลของ Non-bank ส่วนใหญ่ประมาณ
95% เป็นการทำรายการที่จุดบริการ ในขณะที่ Bank จะมีสัดส่วนรายการจ่ายบิลที่เคาน์เตอร์ประมาณ 50% และอีก
50% เป็นการจ่ายบิลผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์
แนวโน้มการแข่งขันโค้งสุดท้ายของปี 2555 : ปรับกระบวนการที่จุดขาย ควบคู่กับการขยายเครือข่าย
มองต่อออกไปในช่วงที่เหลือของปี 2555 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ภาพรวมปริมาณรายการของการจ่ายบิล
เฉพาะที่หน้าเคาน์เตอร์ซึ่งอ้างอิงจากข้อมูล ธปท.
น่าจะรักษาอัตราการเติบโตไว้ใกล้เคียงกับช่วง 6 เดือนแรกของปี
อันจะช่วยผลักดันให้ปริมาณรายการของการจ่ายบิลสำหรับทั้งปี 2555 สามารถเติบโตได้ประมาณ 11-13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
มาที่ 305-310 ล้านรายการ/ปี เช่นเดียวกับเม็ดเงินหมุนเวียนที่น่าจะเติบโตเร่งขึ้นมาที่
8-10% (ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานที่ต่ำในช่วงครึ่งหลังของปี
2554 ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยครั้งร้ายแรง) มาที่ 6.3-6.4
ล้านล้านบาท/ปี
สอดคล้องกับทิศทางการซื้อสินค้าและบริการในประเทศที่น่าจะประคองแรงส่งไว้ได้ต่อเนื่องเมื่อเข้าสู่ฤดูกาลใช้จ่ายปลายปี
ซึ่งน่าจะมีผลหนุนการจ่ายบิล
โดยเฉพาะการจ่ายบิลบัตรเครดิต/บัตรกดเงินสดที่ใช้ในการซื้อสินค้าและบริการ
อันเป็นหนึ่งในรายการสำคัญที่ดำเนินการผ่านช่องทางการนี้
นอกจากปัจจัยข้างต้น
คาดว่าแนวโน้มธุรกิจรับชำระค่าสินค้าและบริการทั้งในช่วงที่เหลือของปี 2555
นี้ ต่อเนื่องไปถึงปีหน้า
ยังน่าจะได้รับแรงหนุนจากพฤติกรรมของผู้บริโภค และการแข่งขันระหว่างผู้ให้บริการด้วย
ดังนี้
• พฤติกรรมผู้บริโภคส่วนใหญ่ที่เน้นความสะดวกในการจ่ายบิล
เนื่องจากมองใบแจ้งหนี้เป็นภาระที่ต้องการขจัดโดยเร็ว
จึงมีความอ่อนไหวต่อราคาน้อย ประกอบกับความเคยชินในการมีผู้บริการ ทำให้หัวใจสำคัญต่อความสำเร็จของธุรกิจการจ่ายบิลเมื่อวัดจากผู้ใช้บริการ
จึงน่าจะขึ้นอยู่กับความสะดวกในเรื่องทำเลที่ตั้งที่อยู่ในย่านชุมชน
และระยะเวลาการให้บริการที่เอื้อต่อผู้บริโภคให้เข้าถึงได้โดยมีข้อจำกัดน้อย
ซึ่งทำให้ผู้ให้บริการทั้ง Bank และ Non-bank
ที่มีจุดเด่นในเรื่องจำนวนจุดบริการและระยะเวลาการเปิดบริการ สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มนี้ได้ค่อนข้างดี
• ค่าธรรมเนียมการจ่ายบิลที่เคาน์เตอร์กับผู้ให้บริการ
2 ประเภท ไม่มีความแตกต่างกันมากนัก
ยกเว้นกรณีค่าบริการบัตรเครดิต ที่อาจเป็นผลจากความขัดแย้งทางธุรกิจ (Conflict
of Interest) จึงทำให้อัตราค่าธรรมเนียมการจ่ายค่าบัตรเครดิตของธนาคารคู่แข่งถูกกำหนดไว้ค่อนข้างสูง
หรืออาจมาจากนโยบายของธนาคารเจ้าของบัตรที่ไม่ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายแทนลูกค้า
ด้วยเหตุผลทางการแข่งขันของธุรกิจหลัก ขณะที่บริการ e-Payment แม้จะมีต้นทุนดำเนินการต่ำกว่า แต่อาจต้องใช้เวลารอความคุ้นเคยของผู้บริโภค• แนวโน้มการแข่งขันระหว่างผู้ให้บริการที่ยังรุนแรง ด้วยมูลค่าเงินหมุนเวียนในธุรกรรมการจ่ายบิลในช่องทาง Bill Payment ที่น่าจะมีไม่ต่ำกว่า 500,000 ล้านบาท/เดือน และจากความสำเร็จของร้านสะดวกซื้อรายใหญ่ที่มีเครือข่ายกว้างขวางทั่วประเทศ จึงได้จุดกระแสความสนใจในธุรกิจนี้ ทำให้ในช่วงที่ผ่านมามีบริษัทเอกชนหลายรายที่มีฐานลูกค้ารายย่อยจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจค้าปลีก ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ต่างรุกเข้ามาร่วมมีส่วนแบ่งตลาดในธุรกิจการจ่ายบิลมากขึ้น ทั้งนี้ คาดว่าทิศทางจำนวนผู้เล่น Non-bank ที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว มีโอกาสปรากฏต่อเนื่องไปในอนาคต ควบคู่กับการเสริมจุดแข็งของการให้บริการของผู้เล่นปัจจุบัน ผ่านการแสวงหาพันธมิตรผู้ให้บริการต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประเภทสินค้าและบริการให้ครอบคลุมและตอบโจทย์การอำนวยความสะดวกให้ลูกค้ามากขึ้น
• ส่วนผู้ให้บริการที่เป็นธนาคารพาณิชย์นั้น แม้ด้วยนโยบาย จะมุ่งเน้นการจ่ายบิลผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ และ/หรือการหักบัญชีอัตโนมัติที่มีต้นทุนการให้บริการต่อรายลูกค้าที่ต่ำกว่า แต่คาดว่ามีแนวโน้มจะรณรงค์การจ่ายบิลผ่านเคาน์เตอร์มากขึ้น ท่ามกลางแรงกดดันต่อการสร้างรายได้ค่าธรรมเนียมของธนาคาร ควบคู่กับการเล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจจากลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่ยังคุ้นเคยกับการจ่ายบิลกับพนักงานที่หน้าเคาน์เตอร์ โดยสามารถใช้จุดแข็งในเรื่องความน่าเชื่อถือและฐานลูกค้าที่เดินทางมารับบริการที่สาขาธนาคารอยู่แล้ว รวมถึงเครือข่ายสาขาที่มีอยู่ไม่ต่ำกว่า 6,000 แห่ง
กลยุทธ์ทางธุรกิจของผู้ให้บริการทั้งธนาคารพาณิชย์ และ Non-bank ในช่วงที่ผ่านมาและแนวโน้มที่คาดว่าจะเห็นในอนาคต
1. ผู้ให้บริการรายใหม่
ส่วนใหญ่ใช้การประชาสัมพันธ์หรือแนะนำจุดรับชำระค่าบริการรายใหม่ กับฐานลูกค้าเดิมของตัวเองและฐานลูกค้าของเจ้าของบริการ/สินค้า
ที่รับชำระค่าบริการ โดยมักเลือกเปิดตัวด้วยการให้ข้อเสนอพิเศษด้านราคาในช่วง 3-6
รอบบิลแรก 1. ธนาคารพาณิชย์รายใหญ่บางแห่ง
เริ่มโปรโมทธุรกรรมการจ่ายบิลมากขึ้น โดยผ่านการโฆษณา
และออกโปรโมชั่นของแจกแถมพิเศษ ทั้งเพื่อสร้างความรู้จักและทดลองใช้บริการ
2. ผู้ให้บริการรายเดิม ขยายเครือข่าย/จุดบริการให้เพิ่มขึ้น
ควบคู่ไปกับการปรับปรุงระบบการชำระเงินให้เป็นแบบเรียลไทม์มากขึ้น รวมถึงการเพิ่มประเภทบริการ
โดยแสวงหาพันธมิตร/คู่ค้าทางธุรกิจเพื่อเป็นตัวกลางชำระเงินให้เพิ่มขึ้น 2.
การปรับปรุงรูปแบบจุดบริการ ที่คาดว่าจะได้เห็นเพิ่มขึ้นในไม่ช้านี้
เพื่อแก้ปัญหาความแออัดของการรับบริการที่อาจต้องเข้าคิวนาน
3. ผู้ให้บริการบางราย ได้จัดรายการส่งเสริมการขายเป็นระยะ
เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้บริการซ้ำ ผ่านการนำใบเสร็จรับเงินที่ชำระมาเป็นสิทธิในการชิงรางวัลต่าง
ๆ 3. ธนาคารพาณิชย์
อาจอาศัยความได้เปรียบจากฐานลูกค้าธุรกิจของธนาคาร
เพื่อเสนอบริการการเป็นตัวแทนจ่ายบิล ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้ค่าธรรมเนียมให้ธนาคาร
ขณะเดียวกันยังช่วยบริหารกระแสเงินสดให้ลูกค้าธุรกิจได้อีกด้วย
รวบรวมโดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
บทสรุป
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า
ธุรกิจบริการรับชำระค่าสินค้าและบริการยังมีแนวโน้มเติบโต
ท่ามกลางกระแสการแข่งขันที่คงความเข้มข้นต่อเนื่อง ซึ่งผู้ให้บริการหลักทั้ง Bank และ Non-bank ต่างก็มีจุดแข็งและตระหนักถึงข้อได้เปรียบของตน
ขณะเดียวกันต่างก็มีแนวโน้มเสริมจุดเด่นด้วยการพัฒนาช่องทางการให้บริการที่สามารถตอบโจทย์ด้านการเข้าถึงบริการ
ความสะดวกรวดเร็ว และความน่าเชื่อถือ ตลอดจนการพัฒนาเทคโนโลยี
เพื่อรักษาส่วนแบ่งการตลาดของตนไว้
โดยคงจะยังเห็นธนาคารพาณิชย์ให้ความสำคัญกับการให้บริการผ่านช่องทางเคาน์เตอร์
พร้อม ๆ
กับการชูจุดเด่นการให้บริการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์และบริการหักบัญชีอัตโนมัติ
ในขณะที่ผู้เล่นกลุ่ม Non-bank ก็คงจะมีการขยายเครือข่ายการให้บริการและปรับกระบวนการที่จุดขาย
ซึ่งคงจะทำให้ผู้บริโภคได้รับบริการที่มีคุณภาพมากขึ้น ราคาถูกลง ภายใต้ความสะดวกสบายของการใช้บริการที่เพิ่มขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า
พฤติกรรมของผู้บริโภคส่วนใหญ่ที่ยังคงเลือกการชำระเงินด้วยเงินสดหน้าเคาน์เตอร์
คงจะทำให้เป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทยในการพัฒนาระบบการชำระเงินให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นและลดต้นทุนการบริหารจัดการลง
ด้วยการลดการใช้เงินสดลง อาจเป็นเรื่องที่ยังต้องใช้เวลาในการสร้างความคุ้นเคย
ควบคู่กับการเสริมความรู้และการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อให้ผู้ใช้บริการมีความมั่นใจมากขึ้น
แหล่งข้อมูล/ที่มา : กสิกรไทยชี้แนวโน้มธุรกิจชำระค่าสินค้าและบริการแข่งขันเข้มข้น
วันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม 2012 เวลา 11:44 น. ศูนย์วิจัยกสิกรไทย - ฐานเศรษฐกิจ
ขอบคุณภาพประกอบจากเว็บไซต์
วันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม 2012 เวลา 11:44 น. ศูนย์วิจัยกสิกรไทย - ฐานเศรษฐกิจ
ขอบคุณภาพประกอบจากเว็บไซต์
ตัวอย่าง วีดีโอจุดรับชำระค่าสินค้าและบริการ จาก youTube
All you need is mPAY
mPAY App
สอบถามข้อมูลธุรกิจรับชำระค่าสินค้าและบริการ mPAY
ติดต่อคุณนุส โทร. 086-335-1299 E-mail : smartwealth.biz@gmail.com
หรือ ดูข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ www.smartwealth.biz